Last updated: 5 ก.ค. 2566 | 538 จำนวนผู้เข้าชม |
นอกจากระบบของแผงโซล่าเซลล์แล้ว ประเภทของแผงโซล่าเซลล์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า ระยะเวลาการใช้งาน ไปจนถึงความสวยงามของหลังคาบ้านด้วยนั่นเอง โดยประเภทแผงโซล่าเซลล์ที่ควรรู้จัก จระเข้นำมาฝากกันแล้ว ไปรู้จักกันได้เลย
1. โมโนคริสตัลไลน์ (Mono Crystalline Solar Cell) มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ลบมุมนำมาวางเรียงต่อกันดูสวยงาม ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านได้เลย และแผงโซล่าเซลล์ประเภทนี้ก็ยังผลิตไฟได้สูงมากแม้มีแสงน้อย แต่แน่นอนว่ามีราคาสูงมากตามไปด้วย อายุการใช้งานนาน 25 ปีขึ้นไป
2. พอลิคริสตัลไลน์ (Poly Crystalline Solar Cell) มีลักษณะเป็นแผงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินวางเรียงต่อกันโดยไม่ตัดมุม ผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอุณหภูมิสูง และมีราคาถูกกว่าโมโนคริสตัลไลน์ แต่อายุการใช้งานนาน 20-25 ปี
3. อะมอร์ฟัสโซล่าเซลล์ (Amorphous Solar Cell) หรือโซล่าเซลล์แบบฟิล์มบาง ผลิตจากสารที่เปลี่ยนแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า นำมาฉาบทับกันเป็นชั้นฟิล์มบาง ๆ จึงเป็นแผงโซล่าเซลล์ที่มีราคาถูกที่สุด แต่ก็ผลิตไฟได้น้อยกว่าแบบอื่น และมีอายุการใช้งานน้อยกว่าด้วย
ถึงแม้ว่าการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาจะช่วยประหยัดค่าไฟบ้านในระยะยาว แต่ต้นทุนของแผงโซล่าเซลล์นั้นก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลยทีเดียว เพราะโดยเฉลี่ยจะอยู่ในหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนของแผ่นโซล่าเซลล์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ไปจนถึงขั้นตอนการติดตั้งด้วย จึงควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจติดตั้ง เพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด
ปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการหลายราย จึงควรเลือกผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญ เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมา และที่สำคัญควรเลือกผู้ให้บริการที่มีการรับประกันและบริการหลังการขายที่ครอบคลุมอุปกรณ์ทุกจุด เผื่อกรณีเกิดปัญหาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีช่างผู้เชี่ยวชาญมาดูแล
อย่าลืมสำรวจดูก่อนว่าหลังคาที่บ้านของเรามีรูปทรงแบบไหน เพราะรูปทรงหลังคาจะส่งผลต่อความสะดวกในการติดตั้ง และการบำรุงรักษาในระยะยาว โดยการติดแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านส่วนใหญ่จะติดได้แทบทุกรูปแบบ แต่ก็มีข้อจำกัดในบางจุดที่ควรจะรู้จักกันไว้ก่อน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
โดยปกติแผงโซล่าเซลล์จะมีน้ำหนักแผ่นละประมาณ 22 กิโลกรัม และมีขนาดอยู่ที่ 1x2 เมตร ดังนั้นควรตรวจสอบดูว่าวัสดุมุงหลังคาที่บ้านนั้นรับน้ำหนักได้มากเพียงพอหรือไม่ หลังคาที่เหมาะสมควรจะรับน้ำหนักได้ 50 กก./ตร.ม. และหากมีปัญหารั่วซึม แตกร้าว หลุดล่อนเสียหาย ควรจะจัดการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่เสียก่อน
และเนื่องจากการติดแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านครั้งหนึ่งจะใช้ไปอีกเป็นหลายสิบปี ควรจะติดแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านให้มีพื้นที่บนหลังคาเหลืออยู่อย่างน้อย 20% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้สะดวกต่อการทำความสะอาด และบำรุงรักษาแผงโซล่าเซลล์ในอนาคต
แน่นอนว่าเมื่อเป็นการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาก็ต้องห้ามลืมเรื่องทิศทางแสงโดยเด็ดขาด เพราะถึงแม้จะติดตั้งไปแล้ว แต่ติดทางทิศที่โดนแสงน้อย การลงทุนครั้งนี้จะเสียเปล่าอย่างแน่นอน สำหรับทิศที่จระเข้ขอแนะนำเลยก็คือทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะเป็นทิศทางที่ได้รับแสงแดดจัดแบบเต็ม ๆ แต่ก็ไม่ควรอาคารหรือต้นไม้ไม่บดบังทิศทางแสง และควรจะติดแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาให้ลาดชันประมาณ 15-20 องศากับพื้นดิน เพื่อให้แสงกระทบกับแผงโซล่าเซลล์ได้เต็มที่มากที่สุดนั่นเอง
หมั่นบำรุงรักษาเป็นประจำ
หลังติดแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมบำรุงรักษาแผงโซล่าเซลล์เป็นประจำ ทั้งการทำความสะอาด การสำรวจชิ้นส่วนต่างๆ โดยจะทำเองที่บ้านหรือใช้บริการช่างผู้เชี่ยวชาญก็ได้ทั้งสิ้น เพื่อให้แผงโซล่าเซลล์ที่บ้านผลิตไฟได้เต็มกำลัง ประหยัดไฟกันไปยาวๆ สำหรับวิธีบำรุงรักษาเบื้องต้น จระเข้มีขั้นตอนง่ายๆ มาฝากกัน
การทำความสะอาด ใช้ผ้านุ่ม ฟองน้ำ หรือแปรงขนไนล่อน ชุบน้ำเปล่าเช็ดทำความสะอาด 4-5 ครั้งต่อปี เพื่อกำจัดฝุ่นและคราบสกปรกต่างๆ หมั่นสำรวจความผิดปกติ หมั่นสำรวจดูว่าแผงโซล่าเซลล์มีสีสันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือมีรอยร้าว รอยแตกตรงจุดไหนหรือไม่ หากพบควรเรียกช่างมาซ่อมแซมทันที หมั่นตรวจสอบความผิดปกติที่อุปกรณ์ นอกจากแผงโซล่าเซลล์แล้ว อย่าลืมตรวจสอบดูความผิดปกติที่อุปกรณ์อื่นๆ เช่น สายไฟ แบตเตอรี ว่ามีสัตว์หรือแมลงมากัดแทะทำให้เสียหายหรือไม่
เมื่อได้รู้จักกับ 6 เรื่องที่ควรรู้ก่อนติดแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านกันไปแล้ว ก็เลือกแผงโซล่าเซลล์ที่เหมาะกับบ้านเราได้เลยนะคะ แนะนำเพื่อนๆ ศึกษา ข้อดี-ข้อเสีย การติดตั้งโซลาเซลล์
ที่มา : https://www.jorakay.co.th/blog/owner/deck-and-roof/7-tips-to-know-before-install-solar-p
26 ม.ค. 2565
8 ต.ค. 2566
4 เม.ย 2566